เป็นที่ทราบกันดีว่า Hydroquinone (ไฮโดรควิโนน) เป็นสารอันตรายที่ห้ามใส่ในเครื่องสำอางในประเทศไทย แต่ถ้ามีเพื่อนชาวชาติ เพื่อนชาวต่างชาติบางคนอาจแปลกใจว่า "ทำไมประเทศยูถึงห้ามล่ะ ประเทศไอยังใช้ได้เลย ใช้รักษาฝ้าดีมากเลยนะ"
เออ นั่นสิ ทำไมบางประเทศห้าม ทำไมบางประเทศไม่ห้าม ยิ่งประเทศไทยแดดแรงๆแบบนี้ คนเป็นฝ้ากันเพียบ ทำไมถึงไปห้ามซะละ
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ไฮโดรควิโนน ก็เหมือนกับสารที่ทำให้ผิวขาวทั่วไป คือไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสภายในเมลาโนไซท์ได้ ผลคือ ทำให้เกิดการยับยั้งการสังเคราะห์เมลานินซึ่งเป็นตัวการทำให้ผิวดำนั่นเอง (=ผิวขาวขึ้น) แถมยังเป็นตัวที่มีประสิทธิภาพมาก + ราคาไม่แพงซะด้วย
ในหลายๆประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อนุญาตให้มีการใส่ไฮโดรควิโนนที่ความเข้มข้นไม่เกิน 2% ได้ (ถ้าเกินนี้ต้องมีใบสั่งแพทย์)
แต่!!! ปัญหาของไฮโดรควิโนนคือ มันทำให้ขาวก็จริง แต่มันก็ทำให้ผิวลอก ผิวระคายเคือง เกิดด่างขาวได้ด้วย นอกจากนี้ยังทำเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง และทำให้ตาดำพิการถาวรได้ด้วย (เพราะถ้ามันไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีในตา ก็เท่ากับตาเราเจอแสงเข้ามาทำร้ายดวงตาเต็มๆโดยไม่มีอะไรป้องกัน)
ที่สำคัญที่สุดคือ การสัมผัสแสงแดด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดกระบวนการย้อนกลับ (Reverse effect) ของไฮโดรควิโนน พูดง่ายๆก็คือ แทนที่จะไปยับยั้งการสร้างเมลานิน กลายเป็นไปเพิ่มการสร้างเมลานินแทน ทำให้เกิดผิวดำๆ ด่างๆ และกระบวนการนี้ไม่มีทางรักษา เกิดแล้วเกิดเลย แก้ไม่ได้ ย้อนกลับไม่ได้อีก ซึ่งแน่นอนว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่แดดแรงเป็นอันดับต้นๆของโลก ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิด Reverse effect นอกจากนี้สมัยที่ยังอนุญาตให้ได้ในเครื่องสำอาง ก็ใส่กันไม่ยั้งมือเลย บางครั้งตรวจพบสูงถึง 5-8% ซึ่งถือว่าสูงมาก ทั้งหมดนี้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ อย. ไทย ตัดสินใจแบนไม่ให้ใช้ไฮโดรควิโนนในเครื่องสำอางอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มันใช้รักษาฝ้าได้เห็นผลดีมาก + ราคาไม่แพง อย. จึงอนุญาตให้ได้ในกรณีเฉพาะ และต้องสั่งใช้โดยแพทย์ผิวหนังซึ่งมีความเชี่ยวชาญเท่านั้น โดยแพทย์จะต้องติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด และห้ามใช้ที่ความเข้มข้นเกิน 2% ครับ
anti-aging
เคล็ดลับในการยืดอายุ และต่อสู้กับริ้วรอยแห่งกาลเวลา
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560
วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
สารช่วยลดริ้วรอยในตำนาน Hyaluronic acid
เราคงเคยได้ยินกันบ่อยๆในโฆษณาพวกเครื่องสำอางว่ามี Hyaluron หรือ Hyaluron-Filler มีส่วนผสมของ Hyaluronic acid
เอาจริงๆ Hyaluronic acid ก็ไม่ใช่สารใหม่ที่น่าตื่นเต้นอะไรหรอกครับ เพียงแต่ว่า Hyaluronic acid มีการใช้มานาน มีการศึกษาวิจัยเยอะ ทำให้มันได้รับการยอมรับเป็นที่กว้างขวางในวงการถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยแล้ว
อย่างแรก เราต้องเข้าใจก่อนว่า คนที่คิดจะเอาเจ้า Hyaluronic acid มาใช้ในวงการเครื่องสำอางและความงามเป็นคนแรกๆเนี่ย เค้าคิดแบบตรงไปตรงมาง่ายๆครับ คือ Hyaluronic acid มันเป็นสารที่พบในร่างกาย ทำหน้าที่เกี่ยวกับรักษาความหนืดของสารน้ำต่างๆในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และความชุ่มชื้น อีกอย่างมันเป็นสารที่ดูดน้ำเข้าหาตัวมันได้ดีมาก ก็เลยเกิดความคิดว่า ถ้าใส่เจ้า Hyaluronic acid เข้าไปในเครื่องสำอางแล้วมันซึมลงไปในผิวหนัง มันก็จะช่วยเก็บกักความชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวหนังแต่งตึงและลบเรือนริ้วรอยได้ แถมยังเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว น่าจะปลอดภัย มีการแพ้และระคายเคืองน้อย และพอเอาไปใช้ก็ปรากฏว่ามันได้ผลดีจริงๆในเรื่องความชุ่มชื้นกับริ้วรอยเล็กๆซะด้วย และด้วยความที่มันใช้ได้ผลแต่มันเป็นสารเก่าที่ไม่ได้มี story อะไรมากมาย วงการเครื่องสำอางเลยมีรายการปลุกผีชุบชีวิตเจ้า Hyaluronic acid ขึ้นมาใช้อยู่เรื่อยๆ
แต่จะว่าไป มันก็มีปัญหาอยู่อย่างนึงครับ ปัญหาของมันก็คือ มันมีขนาดโมเลกุลที่ใหญ่มาก ถ้าฉีดเข้าไปมันได้ผลอย่างแน่นอน แต่ถ้าทาเฉยๆ มันจะซึมเข้าผิวได้ไหม แล้วจะได้ผลหรือเปล่า ประเด็นนี้ยังมีการถกเถียงกันอยู่ คือถ้าทาเฉยๆเค้ายอมรับกันแล้วว่ามันช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นที่ผิวได้ ทำให้ผิวอิ่มเอิบและช่วยให้ริ้วรอยเล็กๆดูจางลงได้ แต่ถ้าเป็นริ้วรอยใหญ่ๆ อันนี้ยังถกเถียงกันอยู่ เพราะฉะนั้นเรื่องขนาดโมเลกุลของตัว Hyaluronic acid และเทคนิคต่างๆที่ใช้เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมจะเริ่มเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญว่าจะช่วยลดได้ขนาดไหน ซึ่งปัจจุบันตรงนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ครับ
ทีนี้เวลาอยู่ในส่วนผสมของเครื่องสำอาง บางทีมันก็ไม่ได้มาในรูป Hyaluronic acid หรอกครับ แต่รูปที่พบบ่อยมากที่สุดรองลงมาคือ Sodium Hyaluronate
เอาจริงๆ มันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละครับ เพียงแต่ Sodium Hyaluronate มันเป็นรูปเกลือ Sodium ของ Hyaluronic acid แต่จะบอกว่าเหมือนก็ไม่เหมือนซะทีเดียว เพราะมันมีจุดที่แตกต่างกันอยู่บ้าง อย่างเช่น
ถ้าใครสนใจเกี่ยวกับเรื่อง Hyaluronic acid สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ >>>>> http://www.jaslynsense.com/ข้อมูลสารสำคัญต่างๆ/hyaluronic-acid/
เอาจริงๆ Hyaluronic acid ก็ไม่ใช่สารใหม่ที่น่าตื่นเต้นอะไรหรอกครับ เพียงแต่ว่า Hyaluronic acid มีการใช้มานาน มีการศึกษาวิจัยเยอะ ทำให้มันได้รับการยอมรับเป็นที่กว้างขวางในวงการถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยแล้ว
อย่างแรก เราต้องเข้าใจก่อนว่า คนที่คิดจะเอาเจ้า Hyaluronic acid มาใช้ในวงการเครื่องสำอางและความงามเป็นคนแรกๆเนี่ย เค้าคิดแบบตรงไปตรงมาง่ายๆครับ คือ Hyaluronic acid มันเป็นสารที่พบในร่างกาย ทำหน้าที่เกี่ยวกับรักษาความหนืดของสารน้ำต่างๆในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และความชุ่มชื้น อีกอย่างมันเป็นสารที่ดูดน้ำเข้าหาตัวมันได้ดีมาก ก็เลยเกิดความคิดว่า ถ้าใส่เจ้า Hyaluronic acid เข้าไปในเครื่องสำอางแล้วมันซึมลงไปในผิวหนัง มันก็จะช่วยเก็บกักความชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวหนังแต่งตึงและลบเรือนริ้วรอยได้ แถมยังเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว น่าจะปลอดภัย มีการแพ้และระคายเคืองน้อย และพอเอาไปใช้ก็ปรากฏว่ามันได้ผลดีจริงๆในเรื่องความชุ่มชื้นกับริ้วรอยเล็กๆซะด้วย และด้วยความที่มันใช้ได้ผลแต่มันเป็นสารเก่าที่ไม่ได้มี story อะไรมากมาย วงการเครื่องสำอางเลยมีรายการปลุกผีชุบชีวิตเจ้า Hyaluronic acid ขึ้นมาใช้อยู่เรื่อยๆ
แต่จะว่าไป มันก็มีปัญหาอยู่อย่างนึงครับ ปัญหาของมันก็คือ มันมีขนาดโมเลกุลที่ใหญ่มาก ถ้าฉีดเข้าไปมันได้ผลอย่างแน่นอน แต่ถ้าทาเฉยๆ มันจะซึมเข้าผิวได้ไหม แล้วจะได้ผลหรือเปล่า ประเด็นนี้ยังมีการถกเถียงกันอยู่ คือถ้าทาเฉยๆเค้ายอมรับกันแล้วว่ามันช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นที่ผิวได้ ทำให้ผิวอิ่มเอิบและช่วยให้ริ้วรอยเล็กๆดูจางลงได้ แต่ถ้าเป็นริ้วรอยใหญ่ๆ อันนี้ยังถกเถียงกันอยู่ เพราะฉะนั้นเรื่องขนาดโมเลกุลของตัว Hyaluronic acid และเทคนิคต่างๆที่ใช้เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมจะเริ่มเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญว่าจะช่วยลดได้ขนาดไหน ซึ่งปัจจุบันตรงนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ครับ
ทีนี้เวลาอยู่ในส่วนผสมของเครื่องสำอาง บางทีมันก็ไม่ได้มาในรูป Hyaluronic acid หรอกครับ แต่รูปที่พบบ่อยมากที่สุดรองลงมาคือ Sodium Hyaluronate
แล้ว Hyaluronic acid กับ Sodium Hyaluronate มันต่างกันยังไง ?
เอาจริงๆ มันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละครับ เพียงแต่ Sodium Hyaluronate มันเป็นรูปเกลือ Sodium ของ Hyaluronic acid แต่จะบอกว่าเหมือนก็ไม่เหมือนซะทีเดียว เพราะมันมีจุดที่แตกต่างกันอยู่บ้าง อย่างเช่น
- Sodium Hyaluronate จะมี pH สูงกว่า Hyaluronic acid ทำให้มีความเป็นกรดน้อยกว่า แต่เรื่อง pH จริงๆแล้วไม่ค่อยมีผลมาก นักพัฒนาสูตรตำรับเค้ามีเทคนิคแก้ไขให้ตำรับของเค้ามี pH ตามที่เค้าต้องการได้อยู่แล้ว
- Sodium Hyaluronate มีความคงตัวที่ดีกว่า Hyaluronic acid
- เกลือ Sodium จาก Sodium Hyaluronate สามารถดึงดูดน้ำเข้ามาหาตัวเองได้ด้วยแรงดัน osmotic นอกจากนี้ Sodium Hyaluronate มักมีขนาดโมเลกุลเล็กกว่า Hyaluronic acid ทำให้ดึงดูดและจับกับโมเลกุลน้ำของน้ำได้ดีว่า Hyaluronic acid และยังซึมผ่านผิวหนังได้ดีกว่าด้วย (ยกเว้น Hyaluronic acid แบบ hydrolyzed หรือนาโน ซึ่งตัดสายของโมเลกุล Hyaluronic acid ให้มีขนาดเล็กลง แต่ถ้าถามว่าใครเล็กกว่าใครคงตอบไม่ได้ ต้องเอาขนาดโมเลกุลตามที่ผู้ผลิตอ้างอิงมาวัดกันเลย)
อ้างอิง :
ถ้าใครสนใจเกี่ยวกับเรื่อง Hyaluronic acid สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ >>>>> http://www.jaslynsense.com/ข้อมูลสารสำคัญต่างๆ/hyaluronic-acid/
ทำไมชาวโอกินาวาถึงอายุยืน
เมื่อราวๆ 2200 ปีที่แล้ว จิ๋นซีฮ่องเต้ ส่งคนล่องเรือออกไปตามหา น้ำอมฤต ทั่วทุกหนทุกแห่ง ถึงขนาดส่งคนออก
ไปเสาะหาตามภูเขาในตำนาน ภูเขาเปงไล น่าเสียดายที่ไม่มีเรือลำไหนแล่นไปโอกินาวาเลย
ผมไม่ได้หมายความว่าไปอยู่โอกินาวาแล้วจะเป็นอมตะนะครับ แต่ถ้าลองได้มาเรียนรู้เคล็ดลับที่โอกินาวาสักครั้ง รับรองว่าพระองค์คงอายุยืนขึ้นแน่ๆ
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกยืนยันว่า ญี่ปุ่น เป็นแชมป์ประเทศที่คนมีอายุขัยเฉลี่ยมากที่สุดในโลก ติดต่อกันมาหลายสิบปีโดยที่ยังไม่มีใครโค่นแชมป์ได้ ที่น่าสนใจคือ แชมป์เหนือแชมป์ ตกเป็นของเกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น โดยประชากรโอกินาวา 100,000 คน จะมีประชากรอายุเกิน 100 ปี อยู่ถึง 50 คน
เคล็ดลับในการครองแชมป์ของชาวโอกินาวานั้นจริงๆแล้วแฝงอยู่ในวิถีชีวิตของชาวโอกินาวานั่นแหละครับ
ประเด็นที่ 1 อาหารของที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกผัก ผลไม้ ไฟเบอร์ ซะเป็นส่วนใหญ่ และที่สำคัญชาวโอกินาวานั้นนิยม รับประทานมันสีม่วง ซึ่งเป็นพืชที่มี แอนโธไซยานินสูง ช่วยต้านอนุมูลอสระได้ แถมยังเป็นอาหารกลุ่ม Low glycemic index อีกด้วย และคนที่นี่ยังนิยมบริโภคปลาทะเล เช่น แซลมอน อย่างที่เรารู้กันว่ามีโอเมก้า 3 สูง นอกจากนี้ยังมีการบริโภคเกลือโซเดียม ในปริมาณต่ำกว่าที่อื่นๆ ถึง 2 เท่าแหนะ
ประเด็นที่ 2 ไลฟ์สไตล์ของชาวโอกินาวา ทำให้ต้องลุก ขยับตลอดเวลา จึงทำให้เหมือนได้ออกกำลังกายอยู่เรื่อยๆ
ประเด็นที่ 3 ที่โอกินาวา บรรยากาศดี๊ดี ใกล้ชิดธรรมชาติ สุขภาพจิตของผู้คนจึงแจ่มใส ดีตามได้ด้วย
ประเด็นที่ 4 พันธุกรรม
หากสนใจเคล็ดลับของชาวโอกินาวา สามารถอ่านรายละเอียดเต็มๆได้ที่บทความเรื่อง เคล็ดลับอายุยืน ตามสไตล์ชาวโอกินาวา ครับ
ผมไม่ได้หมายความว่าไปอยู่โอกินาวาแล้วจะเป็นอมตะนะครับ แต่ถ้าลองได้มาเรียนรู้เคล็ดลับที่โอกินาวาสักครั้ง รับรองว่าพระองค์คงอายุยืนขึ้นแน่ๆ
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกยืนยันว่า ญี่ปุ่น เป็นแชมป์ประเทศที่คนมีอายุขัยเฉลี่ยมากที่สุดในโลก ติดต่อกันมาหลายสิบปีโดยที่ยังไม่มีใครโค่นแชมป์ได้ ที่น่าสนใจคือ แชมป์เหนือแชมป์ ตกเป็นของเกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น โดยประชากรโอกินาวา 100,000 คน จะมีประชากรอายุเกิน 100 ปี อยู่ถึง 50 คน
ทำไมชาวโอกินาวาถึงอายุยืน
ประเด็นที่ 1 อาหารของที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกผัก ผลไม้ ไฟเบอร์ ซะเป็นส่วนใหญ่ และที่สำคัญชาวโอกินาวานั้นนิยม รับประทานมันสีม่วง ซึ่งเป็นพืชที่มี แอนโธไซยานินสูง ช่วยต้านอนุมูลอสระได้ แถมยังเป็นอาหารกลุ่ม Low glycemic index อีกด้วย และคนที่นี่ยังนิยมบริโภคปลาทะเล เช่น แซลมอน อย่างที่เรารู้กันว่ามีโอเมก้า 3 สูง นอกจากนี้ยังมีการบริโภคเกลือโซเดียม ในปริมาณต่ำกว่าที่อื่นๆ ถึง 2 เท่าแหนะ
ประเด็นที่ 2 ไลฟ์สไตล์ของชาวโอกินาวา ทำให้ต้องลุก ขยับตลอดเวลา จึงทำให้เหมือนได้ออกกำลังกายอยู่เรื่อยๆ
ประเด็นที่ 3 ที่โอกินาวา บรรยากาศดี๊ดี ใกล้ชิดธรรมชาติ สุขภาพจิตของผู้คนจึงแจ่มใส ดีตามได้ด้วย
ประเด็นที่ 4 พันธุกรรม
หากสนใจเคล็ดลับของชาวโอกินาวา สามารถอ่านรายละเอียดเต็มๆได้ที่บทความเรื่อง เคล็ดลับอายุยืน ตามสไตล์ชาวโอกินาวา ครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)